"Hello everyone! Welcome to Training-teach.blogspot.com Visiting and comment at every time ....... ^^"

1.22.2555

English Idioms

Don’t cry Over Spilt Milk
ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเสียใจกับสิ่งที่ผ่านไปแล้ว
 
Definition:

Don’t cry Over Spilt Milk [IDM, PRV]: Don’t complain about a loss from the past or do not be upset about making a mistake, since you cannot change that now.

แน่นอนครับ คนหลายคนมักจะเศร้าโศกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นหรือสิ่งผิดพลาดที่ตัวเองได้ ทำไปแล้วในอดีต แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทุกคนต้องเข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้นั้น เราไม่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตหรือทำสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตให้กลับมา เหมือนเดิมหรือทำสิ่งนั้นให้ดีขึ้นได้ แต่อดีตนั้นก็เป็นบทเรียนสอนใจเราได้เป็นอย่างดีในเรื่องของการดำเนินชีวิต ควบคู่กับความไม่ประมาท กล่าวคือเราสามารถเรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างกับสิ่งผิดพลาดที่เกิดขึ้นใน อดีต ทำให้เราไม่ประมาทรู้จักระมัดระวังไม่ให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นซ้ำรอยอีกครั้ง ดังนั้นในเมื่อเราแก้ไขอดีตไม่ได้ สิ่งที่ดีที่สุดที่เราสามารถทำได้ก็คือทำปัจจุบันให้ดี อดีตปล่อยผ่านพ้นไปมาเน้นปัจจุบันกัน แบบว่าอดีตอย่าไปสนอนาคตอย่าไป care เอาปัจจุบันไว้ก่อนครับ 55+ ซึ่งตรงกันข้ามกับการที่เราต้องมานั่งนอนเศร้าโศกเสียใจอาลัยอาวรณ์กับการ กระทำในอดีต ซึ่งเป็นบ่อเกิดของความทุกขทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ดูแล้วไม่มีประโยชน์อะไรกับตัวเราเลยแต่จะคอยเป็นตัวบั่นทอนกัดกินจิตใจเรา ให้หดหู่เศร้าหมองไปยิ่งกว่าเดิม ทำให้เสียทั้งเวลาและสุขภาพจิตไปด้วย แทนที่จะเอาเวลาไปปรับปรุงอดีต อุดรอยรั่วในอดีตด้วยการทำปัจจุบันให้ดีขึ้นแต่ไปเสียเวลากับการที่ต้องนั่ง นอนคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต สำหรับบริบทนี้นั้นในภาษาอังกฤษ จึงได้เปรียบเทียบสิ่งผิดพลาดหรือสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตเหมือนกับ ‘นมที่หกไปแล้ว’ ไม่สามารถทำให้กลับมาดังเดิมได้ เขียนหรือพูดเป็นภาษาอังกฤษว่า ‘Don’t cry over split milk’ หรือ ‘Be no use crying over split milk’ ให้ความหมายว่า ‘ไม่ มีประโยชน์อะไรที่จะเสียใจกับสิ่งที่ผ่านไปแล้วหรือทำไปแล้ว, ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมัวเศร้าเสียใจกับสิ่งที่เสียไปแล้ว, ไม่มีประโยชน์ที่จะร้องไห้ สำหรับนมที่หกไปแล้ว’ สำนวนนี้โดยสรุปแล้ว สอนให้คนเน้นให้ความสำคัญกับปัจจุบัน ไม่ให้คนเราจมปรักอยู่กับอดีต โอเคครับเดี๋ยวเรามาดูตัวอย่างการใช้สำนวน Don’t cry over spilt milk/ Be no use crying over spilt milk จากบทสนาเหล่านี้กันครับ


Situation A: This is the dialogue between Big John and his friend.


    Big John:
My new haircut is suck! It’s way too old-fashioned. I will never ever like it.
      บิ๊กจอห์น: ทรงผมใหม่ของผมห่วยแตกมากๆ เชยจริงๆ ผมไม่เคยชอบมันเลย

        Jessie: I know you don’t like and are not satisfied with your new haircut, but you are not able to change it now. It’s no use crying over spilt milk.
           เจสซี่: ฉันรู้ว่าคุณไม่เคยชอบหรือพอใจกับทรงผมใหม่ของคุณเลย แต่คุณไม่สามารกลับไปแก้ไขอะไรได้ ดังนั้นมันไม่มีประโยชน์อะไรกับคุณที่จะต้องมาเสียเวลากับการคร่ำครวญกับสิ่งเหล่านั้น
Definition:

Don’t cry Over Spilt Milk [IDM, PRV]: Don’t complain about a loss from the past or do not be upset about making a mistake, since you cannot change that now.

  คนหลายคนมักจะเศร้าโศกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นหรือสิ่งผิดพลาดที่ตัวเองได้ ทำไปแล้วในอดีต แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทุกคนต้องเข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้นั้น เราไม่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตหรือทำสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตให้กลับมา เหมือนเดิมหรือทำสิ่งนั้นให้ดีขึ้นได้ แต่อดีตนั้นก็เป็นบทเรียนสอนใจเราได้เป็นอย่างดีในเรื่องของการดำเนินชีวิต ควบคู่กับความไม่ประมาท กล่าวคือเราสามารถเรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างกับสิ่งผิดพลาดที่เกิดขึ้นใน อดีต ทำให้เราไม่ประมาทรู้จักระมัดระวังไม่ให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นซ้ำรอยอีกครั้ง ดังนั้นในเมื่อเราแก้ไขอดีตไม่ได้ สิ่งที่ดีที่สุดที่เราสามารถทำได้ก็คือทำปัจจุบันให้ดี อดีตปล่อยผ่านพ้นไปมาเน้นปัจจุบันกัน แบบว่าอดีตอย่าไปสนอนาคตอย่าไป care เอาปัจจุบันไว้ก่อน 55+ ซึ่งตรงกันข้ามกับการที่เราต้องมานั่งนอนเศร้าโศกเสียใจอาลัยอาวรณ์กับการ กระทำในอดีต ซึ่งเป็นบ่อเกิดของความทุกขทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ดูแล้วไม่มีประโยชน์อะไรกับตัวเราเลยแต่จะคอยเป็นตัวบั่นทอนกัดกินจิตใจเรา ให้หดหู่เศร้าหมองไปยิ่งกว่าเดิม ทำให้เสียทั้งเวลาและสุขภาพจิตไปด้วย แทนที่จะเอาเวลาไปปรับปรุงอดีต อุดรอยรั่วในอดีตด้วยการทำปัจจุบันให้ดีขึ้นแต่ไปเสียเวลากับการที่ต้องนั่ง นอนคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต สำหรับบริบทนี้นั้นในภาษาอังกฤษ จึงได้เปรียบเทียบสิ่งผิดพลาดหรือสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตเหมือนกับ ‘นมที่หกไปแล้ว’ ไม่สามารถทำให้กลับมาดังเดิมได้ เขียนหรือพูดเป็นภาษาอังกฤษว่า ‘Don’t cry over split milk’ หรือ ‘Be no use crying over split milk’ ให้ความหมายว่า ‘ไม่ มีประโยชน์อะไรที่จะเสียใจกับสิ่งที่ผ่านไปแล้วหรือทำไปแล้ว, ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมัวเศร้าเสียใจกับสิ่งที่เสียไปแล้ว, ไม่มีประโยชน์ที่จะร้องไห้ สำหรับนมที่หกไปแล้ว’ สำนวนนี้โดยสรุปแล้ว สอนให้คนเน้นให้ความสำคัญกับปัจจุบัน ไม่ให้คนเราจมปรักอยู่กับอดีต โอเคครับเดี๋ยวเรามาดูตัวอย่างการใช้สำนวน Don’t cry over spilt milk/ Be no use crying over spilt milk จากบทสนาเหล่านี้กัน


Situation A: This is the dialogue between Big John and his friend.


    Big John:
My new haircut is suck! It’s way too old-fashioned. I will never ever like it.
      บิ๊กจอห์น: ทรงผมใหม่ของผมห่วยแตกมากๆ เชยจริงๆ ผมไม่เคยชอบมันเลย

        Jessie: I know you don’t like and are not satisfied with your new haircut, but you are not able to change it now. It’s no use crying over spilt milk.
           เจสซี่: ฉันรู้ว่าคุณไม่เคยชอบหรือพอใจกับทรงผมใหม่ของคุณเลย แต่คุณไม่สามารกลับไปแก้ไขอะไรได้ ดังนั้นมันไม่มีประโยชน์อะไรกับคุณที่จะต้องมาเสียเวลากับการคร่ำครวญกับสิ่งเหล่านั้น
 
ที่มา: Written & illustrated by Big John
http://www.engtest.net/   

1.14.2555

ย้อนอดีตคำขวัญวันเด็ก 56 ปี




                                              ย้อนอดีตคำขวัญวันเด็ก 56 ปี


   หลังจากผ่านพ้นเทศกาลเฉลิมฉลองในช่วงวันขึ้นปีใหม่ 1 มกราคม วันสำคัญต่อมาของเด็กๆ ทั่วประเทศ นั่นคือ "วันเด็กแห่งชาติ" ที่ถูกกำหนดให้ตรงกับวันเสาร์ที่ 2 ของเดือนมกราคมของทุกปี

   ที่มาของวันเด็กแห่งชาติ จากข้อมูลของกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรมระบุว่า มีต้นกำเนิดมาจากการที่สหประชาชาติทั่วโลกเกิดความตื่นตัว และเห็นพ้องต้องกันว่าควรจะให้ความสำคัญแก่เด็กๆ ปี พ.ศ.2498 นายวี เอ็ม กุลผู้แทนองค์การสหพันธ์เพื่อสวัสดิการเด็กระหว่างประเทศ เสนอต่อกรมประชาสงเคราะห์ให้จัดงานวันเด็กแห่งชาติขึ้นเพื่อส่งเสริมให้ ประชาชนได้เห็นความสำคัญและความต้องการของเด็ก

   ในปีเดียวกันทั่วโลกไม่น้อยกว่า 40 ประเทศจัดงานฉลองวันเด็กแห่งชาติของตนขึ้น โดยได้มีการกำหนดว่าจะถือเอาวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมของทุกปี เป็นวันเด็กแห่งชาติ

   สำหรับประเทศไทย กรมประชาสงเคราะห์กระทรวงมหาดไทย เห็นควรจัดงานเฉลิมฉลองวันเด็กแห่งชาติ รัฐบาลจึงได้จัดให้มีคณะกรรมการจัดงานวันเด็กแห่งชาติขึ้นมาคณะหนึ่ง ทำหน้าที่ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆทั้งภาครัฐบาล รัฐวิสาหกิจ และเอกชนกำหนดให้มีการฉลองวันเด็กแห่งชาติทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค

   งานวันเด็กแห่งชาติครั้งแรกของประเทศไทย จัดขึ้นเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ.2498 จากนั้นเป็นต้นมา ราชการได้กำหนดให้วันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมของทุกปีเป็นวันเด็กแห่งชาติ โดยจัดต่อเนื่องกันมาจนถึงปี 2506 ที่ประชุมคณะกรรมการจัดงานวันเด็กแห่งชาติในปีนั้น ได้มีความเห็นตรงกันว่า สมควรเสนอเปลี่ยนวันจัดงานวันเด็กแห่งชาติใหม่ ด้วยเหตุผลว่า เดือนตุลาคมสำหรับประเทศไทยเป็นเดือนที่ยังอยู่ในฤดูฝน มีฝนตกมาก เด็กๆไม่สะดวกในการเดินทางมาร่วมงาน นอกจากนี้วันจันทร์เป็นวันปฏิบัติงานของผู้ปกครอง จึงไม่สามารถพาเด็กของตนไปร่วมงานได้

   ด้วยเหตุนี้ คณะรัฐมนตรีจึงมีมติเห็นชอบในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2507 เปลี่ยนเป็นวันเสาร์ที่สองของเดือนมกราคม ที่มีความเหมาะสมและสะดวกมากกว่า ส่งผลให้ในปี 2507 ไม่มีงานวันเด็กแห่งชาติด้วยการประกาศเปลี่ยนได้เลยวันมาแล้ว งานวันเด็กแห่งชาติจึงเริ่มจัดขึ้นใหม่อีกครั้งในปี 2508 เรื่อยมาถึงปัจจุบัน

   ส่วนเรื่องคำขวัญในวันเด็กแห่งชาตินั้นเป็นคำขวัญที่นายกรัฐมนตรีมอบให้เด็กไทยเนื่องในโอกาส วันเด็กแห่งชาติของทุกปี โดยคำขวัญวันเด็กมีขึ้นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ.2499 ในสมัยที่จอมพล ป. พิบูลสงครามดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และตั้งแต่ พ.ศ.2502 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ให้คุณค่าความสำคัญของเด็ก จึงมอบคำขวัญให้เป็นข้อคติเตือนใจสำหรับเด็กปีละ 1 คำขวัญ (ก่อนถึงวันเด็กแห่งชาติ) นายกรัฐมนตรีสมัยต่อมาจึงได้ถือเป็นธรรมเนียมสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบันเป็น ปีที่ 56 แล้ว

เริ่มจาก จอมพล ป.พิบูลสงคราม

พ.ศ.2499 "จงบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นและส่วนรวม"

จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์

พ.ศ.2502 "ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้าจงเป็นเด็กที่รักความก้าวหน้า"

พ.ศ.2503 "ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้าจงเป็นเด็กที่รักความสะอาด"

พ.ศ.2504 "ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้าจงเป็นเด็กที่อยู่ในระเบียบวินัย"

พ.ศ.2505 "ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้าจงเป็นเด็กที่ประหยัด"

พ.ศ.2506 "ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้าจงเป็นเด็กที่มีความขยันหมั่นเพียรมากที่สุด"

จอมพลถนอม กิตติขจร

พ.ศ.2507 "ไม่มีคำขวัญ เนื่องจากงดการจัดงานวันเด็กแห่งชาติ"

พ.ศ.2508 "เด็กจะเจริญต้องรักเรียนเพียรทำดี"พ.ศ.2509 "เด็กที่ดีต้องมีสัมมาคารวะ มานะบากบั่น และสมานสามัคคี"

พ.ศ.2510 "อนาคตของชาติจะสุกใส หากเด็กไทยแข็งแรงดีมีความประพฤติเรียบร้อย"

พ.ศ.2511 "ความเจริญและความมั่นคงของชาติไทยในอนาคต ขึ้นอยู่กับเด็กที่มีวินัย เฉลียวฉลาดและรักชาติยิ่ง"

พ.ศ.2512 "รู้เรียน รู้เล่น รู้สามัคคี เป็นความดีที่เด็กพึงจำ"

พ.ศ.2513 "เด็กประพฤติดีและศึกษาดี ทำให้มีอนาคตแจ่มใส"

พ.ศ.2514 "ยามเด็กจงหมั่นเรียน เพียรกระทำดี เติบใหญ่จะได้มีความสุขความเจริญ"

พ.ศ.2515 "เยาวชนฝึกตนดี มีความสามารถ"พ.ศ.2516 "เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดชาติเจริญ"

นายสัญญา ธรรมศักดิ์

พ.ศ.2517 "สามัคคีคือพลัง"

พ.ศ.2518 "เด็กดีคือทายาทของชาติไทย ต้องร่วมใจร่วมพลังสร้างความสามัคคี"

หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช

พ.ศ.2519 "เด็กที่ต้องการเห็นอนาคตของชาติรุ่งเรือง จะต้องทำตัวให้ดี มีวินัย เสียแต่บัดนี้"

นายธานินทร์ กรัยวิเชียร

พ.ศ.2520 "รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นคุณสมบัติของเยาวชนไทย"

พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์

พ.ศ.2521 "เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดชาติมั่นคง"

พ.ศ.2522 "เด็กไทยคือหัวใจของชาติ"พ.ศ.2523 "อดทน ขยัน ประหยัด เป็นคุณสมบัติของเด็กไทย"

พลเอกเปรม ติณสูลานนท์

พ.ศ.2524 "เด็กไทยมีวินัย ใจสัตย์ซื่อ รู้ประหยัด เคร่งครัดคุณธรรม"

พ.ศ.2525 "ขยันศึกษา ใฝ่หาความรู้ เชิดชูชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นคุณสมบัติของเด็กไทย"

พ.ศ.2526 "รู้หน้าที่ ขยัน ซื่อสัตย์ ประหยัดมีวินัยและคุณธรรม"

พ.ศ.2527 "รักวัฒนธรรมไทย ใฝ่ดีมีความคิดสุจริตใจมั่น หมั่นศึกษา"

พ.ศ.2528 "สามัคคี นิยมไทย มีวินัย ใฝ่คุณธรรม"

พ.ศ.2529 "นิยมไทย มีวินัย ใช้ประหยัดใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม"

พ.ศ.2530 "นิยมไทย มีวินัย ใช้ประหยัดใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม"

พ.ศ.2531 "นิยมไทย มีวินัย ใช้ประหยัดใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม"

พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ

พ.ศ.2532 "รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม"

พ.ศ.2533 "รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม"

พ.ศ.2534 "รู้หน้าที่ มีวินัย ใฝ่คุณธรรม นำชาติพัฒนา"

นายอานันท์ ปันยารชุน

พ.ศ.2535 "สามัคคี มีวินัย ใฝ่ศึกษาจรรยางาม"

นายชวน หลีกภัย

พ.ศ.2536 "ยึดมั่นประชาธิปไตย ร่วมใจพัฒนา รักษาสิ่งแวดล้อม"

พ.ศ.2537 "ยึดมั่นประชาธิปไตย ร่วมใจพัฒนา รักษาสิ่งแวดล้อม"

พ.ศ.2538 "สืบสานวัฒนธรรมไทย ร่วมใจพัฒนา รักษาสิ่งแวดล้อม"

นายบรรหาร ศิลปอาชา

พ.ศ.2539 "มุ่งหาความรู้ เชิดชูความเป็นไทย หลีกไกลยาเสพติด"

พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ

พ.ศ.2540 "รู้คุณค่าวัฒนธรรมไทย ตั้งใจใฝ่ศึกษา ไม่พึ่งพายาเสพติด"

นายชวน หลีกภัย

พ.ศ.2541 "ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ มีวินัย"

พ.ศ.2542 "ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ มีวินัย"

พ.ศ.2543 "มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ คู่คุณธรรมนำประชาธิปไตย"

พ.ศ.2544 "มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ คู่คุณธรรมนำประชาธิปไตย"

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

พ.ศ.2545 "เรียนให้สนุก เล่นให้มีความรู้สู่อนาคตที่สดใส"

พ.ศ.2546 "เรียนรู้ตลอดชีวิต คิดอย่างสร้างสรรค์ ก้าวทันเทคโนโลยี"

พ.ศ.2547 "รักชาติ รักพ่อแม่ รักเรียนรักสิ่งดีๆ อนาคตดีแน่นอน"

พ.ศ.2548 "เด็กรุ่นใหม่ ต้องขยันอ่านขยันเรียน กล้าคิด กล้าพูด"

พ.ศ.2549 "อยากฉลาด ต้องขยันอ่านขยันคิด"

พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์

พ.ศ.2550 "มีคุณธรรมนำใจ ใช้ชีวิตพอเพียง หลีกเลี่ยงอบายมุข"

พ.ศ.2551 "สามัคคี มีวินัย ใฝ่เรียนรู้เชิดชูคุณธรรม"

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

พ.ศ.2552 "ฉลาดคิด จิตบริสุทธิ์ จุดประกายฝัน ผูกพันรักสามัคคี"

พ.ศ.2553 "คิดสร้างสรรค์ ขยันใฝ่รู้ เชิดชูคุณธรรม"

พ.ศ.2554 "รอบคอบ รู้คิด มีจิตสาธารณะ"

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

พ.ศ.2555 "สามัคคี มีความรู้คู่ปัญญาคงรักษาความเป็นไทย  ใส่ใจเทคโนโลยี" 

    


ที่มา : สสส.

1.11.2555

Nouns (คำนาม) l สอนเรื่องคำนามอย่างง่าย


Nouns (คำนาม)
Common Noun (นามทั่วไป)
เป็นคำนามที่ใช้เรียกคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ทั่วๆไป ความคิด ( person, animal, place, thing, idea ) โดยไม่เฉพาะเจาะจง กล่าวโดยสรุปคือ คำนามทั้งหลายที่ไม่ใช่ proper nouns คือ common nouns เช่น
     สิ่งของ         boy, sign, table, hill, water, sugar, atom, elephant
     สถานที่         city, hill, road, stadium, school, company
     เหตุการณ์      revolution, journey, meeting
     ความรู้สึก      fear, hate, love
     เวลา              year, minute, millennium
  • Common Nouns เป็นได้ทั้ง นามนับได้ (Countable) และนามนับไม่ได้ ( Uncountable )
    Countable Nouns
    ( นามนับได้ ) สามารถอยู่ทั้งในรูปเอกพจน์หรือพหูพจน์
            มีตัวตน      เช่น dog, man, coin , note, dollar, table, suitcase
            ไม่มีตัวตน   เช่น day, month, year, action, feeling
    Uncountable Nouns
    (นามนับไม่ได้) หรือ Mass Nouns อยู่ในรูปเอกพจน์ เท่านั้น
            มีตัวตน   เช่น   furniture, luggage, rice, sugar, water, gold
           ไม่มีตัวตน  เช่น  music, love, happiness, knowledge, advice, information
 
Common countable
Common uncountable
Indefinite (ไม่เจาะจง)
Definite (เจาะจง)
Indefinite (ไม่เจาะจง)
Definite (เจาะจง)
Singular
a cow
the cow
milk
the milk
plural
cows
the cows
-
-
  • Common Nouns จะไม่ขึ้นต้นด้วยตัวใหญ่ (Capital letter) ยกเว้นเป็นคำขึ้นต้นของประโยค ตัวอย่าง: There are many children on the beach. Children love to swim.
Proper Nouns (นามเฉพาะ) จะต้องขึ้นต้นด้วยตัวใหญ่เสมอไม่ว่าจะอยู่ที่ใดของประโยค
  • เป็นคำนามที่เป็นชื่อเฉพาะของ Common Noun เช่น
    ชื่อคน
    (Person Name) เช่น   Somsak , Tom, Daeng
    ชื่อสถานที่ ( Place Name) เช่น   Australia, Bangkok, Sukhumvit Road, Toyota
    ชื่อบอกระยะเวลา
    (Time name ) เช่น Saturday, January, Christmas
  • Proper Nouns จะต้องเขียนขึ้นต้นด้วยตัวใหญ่ ( Capital letter )
  • Proper Nouns ปกติจะไม่มี determiner นำหน้า นอกจากอยู่ในรูปของพหูจน์ เช่น the Jones ( ครอบครัวโจนส์ )
    the United States, the Himalayas
    แต่อย่างไรก็ดีมีข้อยกเว้นของคำนามที่ไม่ได้อยู่ในรูปพหูพจน์ เช่น The White House, the Sahara ( ทะเลทราย ),
    the Pacific ( Ocean ), the Vatican, the Kremlin
  • เปรียบเทียบระหว่าง common nouns และ proper nouns
Common Nouns
Proper Nouns
dog
Lassie ( ชื่อของสุนัข )
boy
Jack ( ชื่อของเด็กชาย)
car
Toyota ( ชื่อยี่ห้อรถ )
month
January ( ชื่อของเดือน)
road
Sukhumvit ( ชื่อถนน )
university
Chulalongkorn ( ชื่อมหาวิทยาลัย)
ship
U.S.S. Enterprise ( ชื่อเรือ )
country
Thailand (ชื่อประเทศ )


แบบฝึกหัด
Noun: A noun is a word used to express a thing. So, it is possible for a noun to express a person, place, object (living and non-living), feeling, idea, or quality.
Example: Maria and her cat are very nice.
In this example, “Maria” and “cat” are nouns because they are both things. “Maria” is a person and “cat” is a living object.
Directions: Underline the nouns in the following sentences.
1)           The house is in Africa.
2)           The car is old and is missing one door.
3)           When will the bus arrive?
4)           Excitement is in the air.
5)           Yesterday was the coldest day of the year.
6)           Happiness is the best feeling.
7)           Tim, Joe, and Anton are my best friends.
8)           Evolution is part of nature.
9)           My brother is a major league baseball player.
10)       Is it time to go yet?

Directions: Now make your own sentences using nouns.
1)           …………………………………………………………………………………………
2)           …………………………………………………………………………………………





เฉลยแบบฝึกหัด
Noun: A noun is a word used to express a thing. So, it is possible for a noun to express a person, place, object (living and non-living), feeling, idea, or quality.
Example: Maria and her cat are very nice.
In this example, “Maria” and “cat” are nouns because they are both things. “Maria” is a person and “cat” is a living object.
Directions: Underline the nouns in the following sentences.
1)           The house is in Africa.
2)           The car is old and is missing one door.
3)           When will the bus arrive?
4)           Excitement is in the air.
5)           Yesterday was the coldest day of the year.
6)           Happiness is the best feeling.
7)           Tim, Joe, and Anton are my best friends.
8)           Evolution is part of nature.
9)           My brother is a major league baseball player.
10)       Is it time to go yet?

Directions: Now make your own sentences using nouns.
1)           …………………………………………………………………………………………
2)           …………………………………………………………………………………………

นำข้อมูลนี้มาจาก: englishforeveryone.org และ www.engtest.net/